เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน ที่ กระทรวงสาธารณสุข นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังการเข้าพบกับคณะเอกอัครราชทูตราชอาณาจักรเบลเยียมประจำประเทศไทย และคณะเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐฝรั่งเศสประจำประเทศไทย เพื่อหารือความร่วมมือด้านต่างๆ ทั้งการแพทย์ การสาธารณสุข เพื่อดูแลประชากรของประเทศต้นทางที่อาศัยในประเทศไทยไปจนถึงการหารือด้านการค้า
นายอนุทิน กล่าวว่า ท่านทูตประเทศเบลเยียม หารือข้อตกลงทำการแลกเปลี่ยนการดูแลสุขภาพและการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้กับคนเบลเยียมที่พักอาศัยในประเทศไทย ที่มีจำนวนมากกว่าหมื่นคน โดยเฉพาะในภูเก็ต ที่ส่วนใหญ่จะเป็นผู้สูงอายุ นักธุรกิจ นักท่องเที่ยว ซึ่งไทยสามารถเรียกเก็บค่าใช้จ่ายจากประกันสังคมประเทศต้นทางได้ โดยเขาก็จะดูแลคนไทยในเบลเยียมด้วย ทั้งนี้ ทางทำเนียบเห็นชอบในหลักการ แต่คนดำเนินงานจะเป็นสำนักงานประกันสังคมและกระทรวงการต่างประเทศ ส่วน สธ. ก็เป็นผู้ปฏิบัติก็พร้อมให้ความร่วมมือ
นายอนุทิน กล่าวว่า ตนเชื่อมั่นและยึดในหลักการว่าจะไม่มีใครปลอดภัย จนกว่าทุกคนจะปลอดภัย ฉีดเขาก็เพื่อเรา โดยให้ความมั่นใจกับเขาว่า รัฐบาลไทยมีนโยบายที่จะฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้กับทุกคนในประเทศไทย ซึ่งเขาสามารถไปลงทะเบียนให้ถูกต้องเพื่อเข้ารับวัคซีนต่อไป
ขณะเดียวกัน ประเทศฝรั่งเศส มาเจรจาขออนุญาตกรมควบคุมโรคนำเข้าวัคซีนจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) ประเทศไทยแล้ว เพื่อนำมาฉีดให้คนฝรั่งเศส อายุ 45 ปีขึ้นไปที่อาศัยในประเทศไทย เบื้องต้น กรมควบคุมโรคเห็นชอบในหลักการ และทราบว่าประเทศฝรั่งเศสจะนำเข้ามาในช่วงปลายเดือน มิ.ย. นี้ จำนวน 1 หมื่นโดส ทั้งนี้ ประเทศที่นำวัคซีนที่ขึ้นทะเบียนแล้วเข้ามาฉีดให้คนของเขาในประเทศเรา กรณีนี้จึงไม่จำเป็นต้องฉีดในสถานทูต ซึ่งบุคลากรแพทย์ก็จะมีความมั่นใจว่าวัคซีนเหล่านั้นได้รับการขึ้นทะเบียนและนำเข้ามาฉีดอย่างถูกต้องแล้ว