“อนุทิน” ตรวจคลังวัคซีนโควิด-19 ชี้ มาตรฐานจัดเก็บ อยู่ในระดับสากล ย้ำ ไทยมีวัคซีนพอต่อความต้องการของประชาชน 24 กุมภาพันธ์ 2564 ที่คลังสำรองวัคซีนโควิด-19 องค์การเภสัชกรรม (คลังศรีเพชร DKSH) บริษัท ดีเคเอสเอช (ประเทศไทย) จำกัด ถนนบางนา-ตราด กม. 19 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย Mr.Yang Xin อุปทูตรักษาการแทนเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย และคณะผู้บริหารกระทรวงฯ ติดตามการลำเลียงวัคซีนโควิด 19 ล็อตแรกของจำนวน 2 แสนโดสเข้าสู่คลัง และระบบการจัดเก็บวัคซีนภายในห้องควบคุมอุณหภูมิมาตรฐานนายอนุทิน กล่าวว่า ต้องขอขอบคุณทุกภาคส่วนที่ช่วยการจัดหาวัคซีน covid-19 จนประสบความสำเร็จ วัคซีนที่ได้รับนั้นมาจากประเทศจีนรัฐบาลไทยได้ยืนยันการจัดหาทั้งหมด 2 ล้านโดส วันนี้ได้มาก่อน 2 แสนโดส แล้วจะทยอยมาจนครบ 2 ล้านโดสภายในเดือนเมษายน จากนั้นเราจะมีวัคซีนจากผู้ผลิตอีกเจ้าหนึ่งจำนวน 61 ล้านโดส มั่นใจว่าจำนวนที่ได้รับนั้นเพียงพอต่อความต้องการของประชาชนขอย้ำว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่จองวัคซีนมากที่สุดในภูมิภาค และมีจำนวนวัคซีน ต่อจำนวนประชากรมากที่สุดเช่นกัน ความสำเร็จ ที่เกิดขึ้นเกิดจากความสัมพันธ์อันดีระหว่างทางการไทยกับทางการจีนด้วยทั้งหมดยังเป็นไปตามแผนไม่ได้มีความล่าช้าแต่อย่างใด ความสำเร็จในการจัดหาวัคซีน covid-19 เราได้รับความสนับสนุนให้กำลังใจจากท่านนายกรัฐมนตรีพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชาและคณะรัฐมนตรีในการเห็นประโยชน์ความสำคัญของสุขภาพประชาชน เมื่อมีเหตุการณ์การระบาดระลอกใหม่ รัฐบาลต้องรีบจัดหาวัคซีนขึ้นมาควบคุมสถานการณ์การระบาดของโรคให้เร็วที่สุดกว่าจะมาถึงวันนี้ ต้องผ่านกระบวนการต่างๆมากมาย ทั้งในเรื่องของการพิสูจน์ประสิทธิภาพ ประสิทธิผล ความปลอดภัย และยังมีขั้นตอนเอกสารอีกมาก ที่ผ่านมา สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาได้มีมติให้ขึ้นทะเบียนวัคซีนจากผู้ผลิตรายนี้แล้ว ขอให้มั่นใจว่าการนำเข้ามาซึ่งวัคซีน เป็นไปตามหลักปฏิบัติ และเป็นไปตามกฎหมาย กระบวนการทุกอย่างอยู่ภายใต้กระบวนการสาธารณสุขของประเทศไทย จากนี้ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์จะเข้าไปตรวจสอบคุณภาพตามมาตรฐาน คาดว่าปลายเดือนกุมภาพันธ์นี้จะจัดส่งไปยังโรงพยาบาลตามแผนการฉีดให้กับกลุ่มเป้าหมาย ประชาชน และบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข อสม. ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด, พื้นที่ควบคุมสูงสุด, พื้นที่ควบคุม และพื้นที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคม รวม 18 จังหวัด โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ซึ่งระบบการเก็บและการจัดส่งวัคซีนจะควบคุมอุณหภูมิไว้ที่ 2-8 องศาเซลเซียส เพื่อคงคุณภาพของวัคซีนอย่าได้หลงเชื่อข่าวปลอม วัคซีนถ้าไม่มีคุณภาพไม่มีทางจะไปถึงตัวประชาชน การให้บริการวัคซีนได้มีการตั้งคณะกรรมการมาดูแลแล้ว จะไม่มีการทิ้งใครไว้ข้างหลังทุกอย่างต้องเป็นไปตามหลักวิชาการและการแพทย์ในกระบวนการของระบบสาธารณสุขที่เข้มแข็งของประเทศไทยทั้งนี้ นอกจาก วัคซีนจากจีนแล้วยังจะมีวัคซีนอีกยี่ห้อหนึ่งเข้ามาที่ประเทศไทยตอนบ่ายและกระบวนการ ก็จะเหมือนกับการนำเข้าวัคซีนจากจีนซึ่งในส่วนของการจัดเก็บก็จะนำมาจัดเก็บไว้ที่นี่เช่นเดียวกัน โดยกระบวนการจัดเก็บเป็นไปตามมาตรฐานสากล ด้านนายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้เตรียมระบบการจัดบริการฉีดวัคซีน ซึ่งถือว่าเป็นงานใหญ่ของกระทรวงสาธารณสุข โดยมีเป้าหมายสำคัญคือ เพื่อลดอัตราป่วยและเสียชีวิต ฉีดให้กับผู้สูงอายุมากกว่า 60 ปี ผู้มีโรคประจำตัวเรื้อรัง และเพื่อปกป้องระบบสุขภาพของประเทศ ฉีดให้กับบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขด่านหน้าทั้งภาครัฐและเอกชน และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวกับการควบคุมโรคโควิด 19 และมีโอกาสสัมผัสผู้ป่วย รวมทั้งเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ จะฉีดให้ประชาชนทั่วไปและแรงงานในภาคธุรกิจบริการ ท่องเที่ยว อุตสาหกรรม สำหรับการฉีดในระยะแรกเมื่อวัคซีนมีปริมาณจำกัด เพื่อลดการป่วยรุนแรงและเสียชีวิตจากโรคโควิด 19 มีแผนการฉีดในเดือนมีนาคม – พฤษภาคม จำนวน 2 ล้านโดส ฉีดให้กลุ่มเป้าหมายใน 18 จังหวัด ได้แก่ จ.สมุทรสาคร, กรุงเทพมหานคร (ฝั่งตะวันตก), ปทุมธานี, นนทบุรี, สมุทรปราการ, จ.ตาก (อ.แม่สอด), นครปฐม, สมุทรสงคราม, ราชบุรี, ชลบุรี, ภูเก็ต, สุราษฎร์ธานี (เกาะสมุย), เชียงใหม่, กระบี่, ระยอง, จันทบุรี, ตราด, และเพชรบุรี สำหรับระยะที่ 2 เดือนมิถุนายน – ธันวาคม 2564 จะฉีดวัคซีนของบริษัทแอสตราเซนเนก้าอีก 61 ล้านโดส ให้กับประชาชนกลุ่มเป้าหมาย 10 ล้านโดสต่อเดือน นอกจากนี้ ได้ให้กรมควบคุมโรค เร่งดำเนินการเรื่องวัคซีนพาสปอร์ต ในการยืนยันตัวตัวตนหลังได้รับวัคซีนครบแล้วเพื่ออำนวยความสะดวกประชาชนสำหรับใช้ในการเดินทางไปต่างประเทศหรือในประเทศ ให้เป็นระบบดิจิทัลมากที่สุด รวมถึงให้เกิดการใช้งานเกี่ยวกับวัคซีนอื่นๆ ด้วยเพื่อให้เกิดความครอบคลุมการใช้งาน และรองรับโรคอุบัติใหม่ที่อาจเกิดขึ้น สำหรับวัคซีน “CoronaVac” ของซิโนแวค คณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคได้มีข้อแนะนำ ว่า วัคซีนชนิดนี้ เป็นวัคซีนชนิดเชื้อตาย กระทรวงสาธารณสุขกำหนดให้ฉีดในประชาชนอายุ 18-59 ปี จำนวน 2 เข็ม ห่างกัน 2-4 สัปดาห์ และมีการติดตามเฝ้าระวังอาการภายหลังได้รับวัคซีนแต่ละเข็มเป็นระยะเวลา 30 วันหลังฉีด โดยในพื้นที่ที่มีการระบาดรุนแรงแนะนำให้ฉีดห่างกัน 2 สัปดาห์ ห้ามฉีดให้กับผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่อยู่ในภาวะควบคุมไม่ได้ ผู้ที่มีภาวะทางระบบประสาทอย่างรุนแรง หญิงตั้งครรภ์ และควรระวังในการฉีดในกลุ่มหญิงให้นมบุตร ผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง นอกจากนี้ สามารถให้วัคซีนโควิด 19 ร่วมกับวัคซีนป้องกันโรคชนิดอื่นได้ โดยเว้นระยะห่างกันอย่างน้อย 14 วัน และขณะนี้ยังไม่มีข้อมูลการฉีดวัคซีนโควิด 19 สลับชนิดกัน ดังนั้น การฉีดวัคซีนทั้งสองเข็มควรเป็นวัคซีนยี่ห้อเดียวกันด้านนายจอห์น แคลร์ รองประธานฝ่ายบริหารหน่วยธุรกิจผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ ประเทศไทยและอินโดจีน (เมียนมาร์ กัมพูชา ลาว) บริษัท ดีเคเอสเอช กล่าวว่า บริษัทดีเคเอสเอช หรือที่เคยเป็นที่รู้จักในนาม “ดีทแฮล์ม” มีความเชี่ยวชาญเฉพาะในด้านการจัดเก็บ จัดบรรจุ และการขนส่งผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพที่ได้คุณภาพ โดย ดีเคเอสเอช รักษามาตรฐานสูงสุดตลอดการขนส่ง และมีประสบการณ์ด้านการกระจายวัคซีนให้แก่คนไทยอย่างต่อเนื่องภายใต้ความร่วมมือกับองค์การเภสัชกรรมในหลายๆ โครงการมากว่า 10 ปี ดีเคเอสเอช พร้อมที่จะสนับสนุนการกระจายวัคซีนป้องกันโควิด 19 จำนวน 2 ล้านโดสนี้ โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย โดยวัคซีนจะขนส่งในบรรจุภัณฑ์พิเศษ “Brilliant Box” ที่ใช้เทคโนโลยีพิเศษในการควบคุมอุณหภูมิของสินค้าในกล่อง เหมาะอย่างยิ่งกับการบรรจุและขนส่งยาเย็น เช่น วัคซีนโควิด 19 ที่ต้องควบคุมอุณหภูมิไว้ไม่เกิน 2 – 8 องศาเซลเซียส ตลอดการขนส่งเพื่อรักษาคุณภาพ และบรรจุภัณฑ์ Brilliant Box ยังมีน้ำหนักเบา ทนทาน สามารถนำมาใช้ซ้ำได้เพื่อช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ รถขนส่งปรับอากาศของบริษัทฯ ยังมีระบบเก็บความเย็นเพื่อควบคุมอุณหภูมิในรถที่เหมาะกับการขนส่งยาเย็นโดยเฉพาะ และมีการติดตั้ง Data Logger ที่สามารถตรวจวัดอุณหภูมิภายในรถได้ตลอดการขนส่ง เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานวิธีการที่ดีในการกระจายยา และมาตรฐานสูงสุดด้านการกำกับดูแลและการประกันคุณภาพ#Like_Anutin