ต้องเรียกว่าเหงื่อตกกีบสำหรับ “รองฯหนู” หรือที่คนในกระทรวงฯ เรียกว่า “ท่านรองฯ”
เพราะเรื่องวัคซีนนั้น กลายเป็นปัญหาที่ต้องแก้กันแบบไม่รู้จบ
ซึ่งท่านรองฯ ต้องปาดเหงื่อกันแบบ 24 ชั่วโมง เพราะแผนที่วางไว้เปลี่ยนกันทุกนาที จากปัจจัยความไม่แน่นอนที่ควบคุมไม่ได้ สารพัดอย่าง ทั้งที่มองเห็น และอิหยังหว่า
วันนี้ แม้ ศบค.จะเข้ามาดูแลเรื่องบริการวัคซีน ส่วนท่านรองฯ ถอยมาดูเรื่องจัดหาลงพื้นที่ตามคำสั่งของ ศบค.
แต่เพราะความเป็นรัฐมนตรี กระทรวงคุณหมอ กลายเป็นได้รับการคาดหวังว่าต้องรู้ ต้องรับผิด รับชอบทุกเรื่อง
วันนี้ ท่านรองฯ พูดน้อยลง แต่ทำงานหนักมาก เพราะถึงภาระจะถูกแบ่งไปให้ส่วนอื่น แต่เรื่องการจัดหา ท่านรองฯก็ยังเป็นหัวเรือสำคัญ
ยิ่งนโยบายมา 100 ล้านโดส 150 ล้านโดส ก็ยิ่งต้องทำงานหนักเป็นหลายเท่า
ชั่วโมงนี้ พูดกันตรงๆ ว่า ไม่มีเลือกวัคซีน อันไหน คุยได้ ผู้ผลิต OK Say Yes ก็ต้องเร่งนำเข้ามา ให้ทันการระบาด ไม่พูดพร่ำทำเพลง ขอให้ดี ปลอดภัย มีประสิทธิภาพ ก็นับว่าผ่านเกณฑ์
ซึ่งที่ไทยนำเข้ามาให้ประชาชน ก็เป็นวัคซีนซึ่ง WHO รับรองทั้งหมด ประชาชนสบายใจได้
ส่วนความล่าช้า ท่านก็ยอมรับตรงว่า ของมันทยอยเข้ามา มันก็มีปัญหาเรื่องจัดการ แต่คนไทยได้ฉีดแน่ แต่ช้าเร็วไม่เท่ากัน
และนอกจากเรื่องวัคซีน ท่านรองฯ ยังต้องดูแลเรื่องระบบการรักษา เพื่อกดยอดความสูญเสียให้ได้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้
เรื่องการติดเยอะนั้น นอกเหนือกำลังของกระทรวง สธ.ที่จะทานไหว เพราะมาจากหลายทิศทาง จะเอา อสม.ไปสกัดตามชายแดน ก็คงไม่ไหม
แต่การรักษาอย่างไรเสีย สธ.ก็เป็นแม่งาน ซึ่งตัวท่านได้ประสานสนับสนุนเรื่องการรักษาเต็มที่ ปัจจุบัน ยอดผู้เสียของไทยยังอยู่ที่ 1% เศษ น้อยกว่าค่าเฉลี่ยโลก 2.7 เท่า
ผลงานเด่นๆ ฝีมือท่านรองฯ ก็เช่น รพ.บุษราคัม ดูแลผู้ป่วยเกณฑ์สีเหลือง ศูนย์แรกรับอาคารนิมิบุตร ช่วยแก้ปัญหาผู้ป่วยตกค้าง เป็นต้น
นอกจากนั้น ยังประสานจัดสถานที่ฉีด ในฐานะฝ่ายสนับสนุนด้านสถานที่ และบุคลากร ที่เด่นๆ ก็ศูนย์ฉีด สถานีกลางบางซื่อ
อย่างไรก็ตาม เพราะการที่ต้องเผชิญกับโรคใหม่ และเป็นวิกฤติแบบที่ไทยไม่เคยเจอ เป็น First Time in 100 Years ในช่วงที่การเมืองร้อนแรง ขณะที่ ท่านเองก็ไม่ใช่คนที่สื่อสารเก่งนัก
สุดท้าย จึงถูกวิจารณ์หนักหนาสาหัส จนบางทีถึงขั้นจิตตกหงอไปก็มี จนหมอในกระทรวงฯ ต้องออกมาตบบ่า ตบไหล่ ให้กำลังใจ ฟื้นขวัญกัน
แต่ถ้าคิดดูดีๆ ทุกวินาทีที่ผ่านไป งานในความรับผิดชอบของรองฯหนู ก็มีความคืบหน้าโดยตลอด
อยากได้วัคซีนต้นปี ก็หามาได้ คุยกับจีนจัดมา Sinovac
ปีนี้ จะฉีด 100 ล้านโดส แผนล่าสุด ไปถึงจุดนั้นแล้ว
อยากได้ไฟเซอร์ ก็กำลังจะได้
อยากให้ไทยเป็นฐาน ก็ทำแล้ว
อยากผลิตแบรนด์ไทย ก็กำลังทดสอบในมนุษย์
วันนี้ไทยเร่งฉีดวัคซีนโควิด 19 ไปจะถึง 5 ล้านโดสอยู่รอมร่อ และมีในประเทศที่พร้อมฉีดอีกเกือบ 2.5 – 3 ล้านโดส
เอาล่ะ
ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน
ขอบคุณ : Tfact