นาทีนี้ “ชายเดียว” ที่ยืน “โดดเดี่ยว” ในหมู่บ้านกระสุนตก คงหนีไม่พ้น นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข
ที่โดนจัดหนัก จัดเต็ม จากสถานการณ์โควิด-19 ทันทีที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อ ดีดขึ้นไปถึงพันจนทะลุสองพันกว่า บาปทุกอย่างก็ตกอยู่ที่ “เสี่ยหนู”
แต่ “อนุทิน” ก็ไม่บ่น และยอมรับคำวิพากษ์จากสังคมและวิจารณ์ทางการเมืองเพื่อให้งานเดินไปได้ ดังที่เขาเคยกล่าวไว้ว่า “ผมยินดี ถ้าใครระระบายใส่ตนแล้วอารมณ์ดีขึ้นมีความสบายใจขึ้นก็เอาเลย แต่อย่าด่าคนในกระทรวงสาธารณสุขเพราะทุกคนทำงานหนัก”
กลับมาที่ระลอก3 เกิดการระบาดในสถานบันเทิงรอบนี้ กระทรวงหมอ ก็เสนอมาตรการป้องกัน และคาดการณ์ตัวเลขผู้ติดเชื้อ ว่าหากไม่มีการจัดการใดๆ หลังสงกรานต์จะเกิดอะไรขึ้น เอาไว้แล้ว
ทว่า เหตุผลทาง “เศรษฐกิจ” นำ “สุขภาพ”
ดังนั้นในเวลาที่คนทั่วไปกำลังพักผ่อนช่วงวันหยุดยาว ทีมแพทย์ พยาบาล บุคลากรสาธารณสุข ภายใต้การนำของ “อนุทิน”
จึงต้องทำงานที่ “หนัก” อยู่แล้ว ให้ “หนักขึ้นไปอีก” เพื่อเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น
วัคซีนก็ยังต้องหา วางแผนการฉีด เตรียมสถานพยาบาลรองรับผู้ป่วย ผู้ติดเชื้อ
จนเมื่อเกิดภาวะ “ฝีแตก” ผู้ติดเชื้อสูงสุดเกือบเหยียบ 3 พัน มีผู้ป่วยที่ยังไม่ได้เตียง มีผู้เสียชีวิต
คนบางกลุ่ม หลายฝ่ายตรงข้าม ก็ชี้ว่า เป็นความผิดของ “อนุทิน”
ระดมทำแคมเปญลงชื่อขับไล่พ้นจาก “เก้าอี้” เพื่อระบายอารมณ์ และหวังผลทางการเมือง
ปัญหาการจัดส่งผู้ป่วย การจัดหาเตียง “มีจริง” แต่ “เสี่ยหนู” ก็ยอมรับ และแก้ไขด้วยการตั้งศูนย์แรกรับ ที่อาคารนิมิตรบุตร ส่งต่อผู้ป่วย แบบไม่ปริปากถึงเรื่องราวเชิงลึกใดๆ
แม้เห็นกันชัดๆ อยู่แล้วว่า “ปัญหานี้” เกิดขึ้นเพียงพื้นที่ กรุงเทพฯ ซึ่งไม่อยู่ในอำนาจเต็มของ สธ.
ถามว่า 76 จังหวัด ที่มีนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) ทำไมไม่มีปัญหาแบบนี้ คำตอบจึงอยู่ในคำถาม
ที่ผ่านมาสิ่งที่ “เสี่ยหนู” ทำ คงไม่ได้ดีที่สุด ถูกใจทุกคน แต่ก็ต้องยอมรับว่าเป็นคนทำงานหนักไม่แพ้ใคร
แต่การทำงานที่ผนึกกับทีม สธ. จนทำให้ไทยประคับประคองสถานการณ์สู้กับโควิด -19 มาได้จนถึงวันนี้
การจัดหาวัคซีนซิโนแวค ด้วยคอนเน็คชั่นส่วนตัว เต็มใจควักกระเป๋า ถ้าจะทำให้จัดส่งเร็วขึ้น ดังที่ นายพลพีร์ สุวรรณฉวี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ออกมาเผยเบื้องหลังอีกด้าน
การวางแผนจัดหาวัคซีน ที่ไทยไม่เข้าร่วมโคแวค ซึ่งวันนี้ชัดเจนแล้วว่าโคแวค ไม่สามารถจัดหาวัคซีนให้ได้ตามที่ตกลงไว้
แต่ไทยมีสยามไบโอไซแอนท์ ที่ผลิตวัคซีนได้ภายในประเทศของเราเอง ยาฟาวิพิราเวียร์ที่มีอยู่ในสต็อก
แต่กลับไม่มีคนพูดถึง “เครดิต” ตรงนี้
ส่วนการที่ “นายกฯ ” มีคำสั่ง รวบอำนาจ กฎหมายทั้งหมด รัฐมนตรี และตั้งคณะกรรมการ 4 คณะ เพื่อมาทำเรื่อง โควิด-19
ทั้งการการจัดหา วัคซีน การฉีดวัคซีน ทุกอย่าง ก็สอดคล้องตามที่ สธ. วางแผนไว้ทั้งสิ้น
สิ่งที่ “นายก” ทำคือการบริหารอารมณ์ ความรู้สึกของภาคเอกชน ให้คนมีความคิดเห็นได้มีพื้นที่แสดงออก มีส่วนร่วมในการทำงาน
สิ่งที่หลายคน หลงลืมไปในการศึกโควิด-19 ตั้งแต่วันแรกจนถึงตอนนี้
ขุนพลร่วมรบที่สำคัญของ นายกฯ ก็คือ“อนุทิน”
ในขณะเดียวกันยังทำหน้าที่ “หนังหน้าไฟ” ออกมา “ไฟท์” กับทุกเหตุการณ์ ฟาดกับฝ่ายตรงข้าม รับหอกรับดาบให้รัฐบาล อย่างไม่เกรงสิ่งใด
ซึ่งที่ผ่านมา “อนุทิน” มักจะพูดเสมอว่า
“ให้คนทำงาน ทำงานไป คำวิจารณ์ ขอรับเอง”
และใครที่คิดว่า” อนุทิน” น้อยใจหรือ ขัดแย้งกับนายกฯ จึงไม่เป็นความจริง และสถานการณ์ขณะนี้ ก็มิได้เป็นอย่างที่ฝ่ายตรงข้ามพยายามจะปั่นให้เกิดความแตกแยกได้
ดังที่ นายกฯ ได้ออกมาให้กำลังใจกับ”นายอนุทิน” รวมถึงรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขและปลัดกระทรวง ไปแล้ว และถือว่าบุคคลเหล่านี้เป็นด่านหน้า เป็นหลักของรัฐบาล
คำพูดของ “บิ๊กตู่” เท่ากับเป็นการยืนยันว่าไร้ความขัดแย้งทั้งสิ้น
ส่วน “อนุทิน” ที่ผ่านมา ก็ยอมเจ็บ ให้งานจบ
เรื่องราวมีเท่านี้
เนื้องเรื่องต้นฉบับ : https://www.naewna.com/politic/569393