การระบาดที่จังหวัดสมุทรสาคร ทำให้แผนการบริหารจัดการวัคซีนโควิด 19 ต้องปรับมากพอสมควร จากที่ไทยตั้งเป้าว่า ต้องมีวัคซีนในเดือนพฤษภาคม 2564 คณะกรรมการทางวิชาการแนะนำว่า สมควรยิ่งที่ไทยจะต้องมีวัคซีนให้เร็วกว่านั้น
รองฯหนู รับทราบปัญหา และพยายามหาทางออก
ณ ช่วงเวลานั้น ท่านรองฯ แม้จะมีรอยยิ้ม และเสียงหัวเราะ แต่ก็ออกมาไม่เต็มเสียง เพราะเรื่องวัคซีนยังคาราคาซัง คนรอบข้างบางคน ก็ยังเอ่ยปากว่า “ท่านเครียด”
ชั่วโมงนั้น เรียกได้ว่าท่านรองฯ ใช้ทุกสายสัมพันธ์ที่มี พร้อมไปกับหารือผู้รับผิดชอบเรื่องวัคซีนทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน เข้ามาหาทางแก้ปัญหา
ย้อนกลับไป ในวันที่จีนมีการระบาดรุนแรง ช่วงต้นปี 2563 ไทย เป็นประเทศหนึ่ง ซึ่งให้กำลังใจจีน ทั้งยังดูแลคนจีนในไทยอย่างสุดความสามารถ
ท่านหยาง ซิน (Mr. Yang Xin) อุปทูตสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย สะท้อนความประทับใจทุกครั้งที่ได้ย้อนเล่าเหตุการณ์เมื่อวันวาน
กลับมาที่ท่านรองฯ
ขณะที่ประเทศไทย มีความต้องการวัคซีนโควิด 19 และประเทศจีนก็ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในผู้ผลิตที่สำคัญ เมื่อนึกถึงไมตรีระหว่าง 2 ชาติ
ท่านรองฯ อนุทิน ประสานท่านหยาง ซิน เพื่อขอนำเข้ามาซึ่งวัคซีนทันที
24 กุมภาพันธ์ ที่สนามบินสุวรรณภูมิ วัคซีนล็อตแรกจากบริษัท Sinovac มาถึงประเทศไทย
ท่านรองฯ ย้อนเล่าว่า
“ผมและกระทรวงสาธารณสุขพยายามอย่างสุดความสามารถ แต่ก็หาวัคซีนที่เหมาะสม และสามารถส่งมาในเวลที่ต้องการไม่ได้เลย โชคดีมากที่ได้ท่านหยาง ซิน เข้ามาช่วยในเรื่องนี้
ผมก็บอกว่า วัคซีนจะต้องได้ภายในเดือน ก.พ.- มี.ค. นี้เท่านั้น ท่านทูตก็ช่วยประสานงานทุกประการ จนสุดท้ายเราก็ได้มา 2 ล้านโดส แบ่งส่งเป็น 3 ชิปเม้นท์ คือ ก.พ. 200,000 โดส มี.ค. 800,000 โดส และ เม.ย. อีก 1,000,000 โดส
เราก็เจรจาจนได้มาซึ่งราคาวัคซีน จากโดสละ 30 กว่าเหรียญ ก็เหลือ 17 เหรียญ แล้วก็ยังต่อรองค่าขนส่งอีก ทำให้การบินไทยไม่ต้องสนับสนุนค่าขนส่งวัคซีน”
และจึงเป็นคำตอบว่า ทำไม ไทยถึงได้ใช้วัคซีน Sinovac ของจีนมาใช้ เพื่อแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้า
วัคซีน 2 ล้านโดส ซึ่งท่านรองฯ เร่งประสานเข้ามานั้น มีความสำคัญในฐานะ เป็นเครื่องมือเพื่อประคับประคองระบบสาธารณสุขไทย
ไม่ต้องแปลกใจ
ที่ ณ วันนั้น ท่านรองฯ ยิ้มกว้างที่สุดวันหนึ่ง เท่าที่แอดฯ เคยเห็นภาพมา