รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ย้ำฉีดวัคซีนโควิด 19 ช่วยป้องกันเจ็บป่วยรุนแรงและเสียชีวิต ตั้งเป้าฉีดครอบคลุมประชากรโดยเร็ว ร่วมกับสวมหน้ากาก เว้นระยะห่าง เติมเต็มป้องกัน
ติดเชื้อและแพร่เชื้อได้ เพื่อเปิดประเทศปลอดภัย ชูจัดงานไมซ์ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ดึงชาวต่างชาติเข้าประเทศ
วันนี้ (1 เมษายน 2564) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังเป็นประธานพิธีลงนามข้อตกลงความร่วมมือ “เปิดเมืองปลอดภัย จัดงานไมซ์มั่นใจ ด้วยมาตรฐาน” ใน 10 เมืองไมซ์ ว่า รัฐบาลต้องการเปิดประเทศอย่างปลอดภัย สิ่งสำคัญคือประชากร
ในประเทศต้องปลอดภัย ได้รับวัคซีนโควิด 19 ครอบคลุมมากพอที่จะเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ ซึ่งวัคซีนจะช่วยลดการเจ็บป่วยรุนแรงและเสียชีวิตได้ 100 เปอร์เซ็นต์ ส่วนการป้องกันการติดเชื้อและแพร่เชื้อป้องกันได้ร้อยละ 70 และหากยังคงมาตรการ นิวนอร์มัล ด้วยการสวมหน้ากาก ล้างมือ เว้นระยะห่าง ดูแลสุขภาพอย่างดี จะเติมเต็มทำให้ป้องกันติดเชื้อและแพร่เชื้อได้ 100 เปอร์เซ็นต์ เหมือนที่เราควบคุมการระบาดระลอกแรกจนไม่มีการแพร่เชื้อมานานกว่า 6 เดือน
ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขจะกระจายวัคซีนไปยังประชาชนทั่วประเทศให้เร็วที่สุดในช่วงปลายเดือนพฤษภาคมถึงต้นเดือนมิถุนายนนี้ ตั้งเป้าหมายให้ประเทศไทยเป็นประเทศแรกในอาเซียนที่ฉีดวัคซีนได้ครอบคลุมประชากรมากที่สุด เร็วที่สุด เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจให้เร็วที่สุด แม้จะมีการติดเชื้อก็จะเป็นจำนวนน้อยที่ระบบสาธารณสุขรับได้ ส่วนการจัดงานไมซ์จะเป็นการจุดประกายให้เมืองไทยกลับมาสู่ภาวะปกติโดยเร็ว เนื่องจากช่วยส่งเสริมการทำงานและสร้างรายได้ ลดปัญหาการลักลอบเข้า-ออกประเทศไปทำงาน จึงลดความเสี่ยงที่จะนำเชื้อกลับเข้ามาด้วย รวมถึงการจัดงานอย่างปลอดภัยมีมาตรฐานก็จะช่วยเรียกชาวต่างประเทศเข้ามาท่องเที่ยวจัดสัมมนา ประชุม แสดงสินค้า เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วย “ชาวต่างชาติที่จะเข้ามาก็ต้องมั่นใจว่า ประชาชนในประเทศเราสุขภาพแข็งแรง ปลอดภัย มีระบบสาธารณสุขดูแลเขาเมื่อเจ็บป่วยได้ ซึ่งเมื่อเราฉีดวัคซีนได้ครอบคลุมมากเพียงพอก็ตั้งสมมติฐานว่าปลอดภัยได้” นายอนุทินกล่าว
นายอนุทินกล่าวว่า ส่วนการรับวัคซีนแล้วไม่ต้องกักตัวถือเป็นเป้าหมาย แต่ต้องมีการศึกษาเรื่องภูมิคุ้มกันผลตอบสนองต่อวัคซีนก่อนว่าเป็นอย่างไร ฉีดครบ 2 โดสแล้วใช้เวลานานเท่าใดภูมิคุ้มกันจึงจะสูงจนปลอดภัย
ต่อการติดเชื้อ ถ้าปลอดภัยก็ไม่ต้องกักตัว โดยจะเริ่มในคนไทยที่มีภารกิจเดินทางไปต่างประเทศ กลับมาไม่ต้องกักตัว ส่วนชาวต่างชาติอาจต้องรอเรื่องวัคซีนพาสปอร์ตที่จะต้องตกลงกันระหว่างประเทศ
“ส่วนการส่งวัคซีนไปฉีดที่ภูเก็ต 1 แสนโดส ส่งไปแล้ว 5 หมื่นโดส จะส่งตามไปอีก 5 หมื่นโดส และส่งไปเกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี 5 หมื่นโดส ถ้าผลภูมิคุ้มกันออกมาดี ก็เปิดพื้นที่ได้เร็ว และพรุ่งนี้จะนำวัคซีนไป อ.แม่สะเรียงด้วยเพื่อฉีดให้แก่ทหาร ตำรวจชายแดน เจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่ดูแลผู้ประสบภัยตามหลักมนุษยธรรม” นายอนุทินกล่าว