การเมืองไทย เล่นกันทุกเซ็นติเมตรของสนาม
สำหรับคนทำงาน การต้องเผชิญกับนักการเมือง ประเภทชอบจับผิดทุกข้อ ทุกเรื่อง คือ อุปสรรค ต่อการพาชาติไปข้างหน้าอย่างยิ่ง
ล่าสุด ในคลับเฮ้าส์ เรื่องวัคซีน
รองฯอนุทิน มีเจตนาดี เข้ามาตอบข้อสงสัยเรื่องแผนบริการวัคซีน เหตุและผลของการชะลอการการฉีดวัคซีนแบรนด์หนึ่ง
บรรยากาศเป็นไปด้วยดี
กระทั่งผู้นำความคิดฝ่ายการเมืองสุดขั้วเข้ามาทำลายบรรยากาศแห่งการสื่อสารให้ข้อมูล ความรู้
“นายอนุทินโกหก” เป็นประโยคแรกๆ ที่นักการเมืองคนนั้นพูดขึ้นมาท่ามกลางทุกคนที่ตกตะลึง กับความก้าวร้าวรุนแรง ของการเปิดบทสนทนา
แน่นอนว่านี่เป็นกลยุทธ์ ของการโต้วาที ซึ่งเป็นของถนัดสำหรับผู้เปิดประเด็น
หวังใช้ความหยาบกร่างสะกดอีกฝ่าย
จากนั้นเขาได้เริ่มร่ายยาวเกี่ยวกับแผนการจัดการวัคซีนของประเทศไทย
ยกแผนการบริหารจัดการวัคซีน ที่หน่วยงานราชการเสนอต่อกรรมาธิการสภาผู้แทนราษฎร เมื่อช่วงเดือน พ.ย.2563 ระบุว่า
ประเทศไทยจะฉีดวัคซีนตั้งแต่ปี 2021-2023 ปีละประมาณ 10 ล้านโดสเท่านั้น ซึ่งไม่สอดคล้องกับที่ ท่านรองฯ ให้ข่าวเสมอว่าจะฉีดให้ได้ในหลัก 50-60 ล้านโดสในปีนี้ (2564)
แล้วยังกลับมาตอกย้ำว่าตรงนี้เองคือสิ่งที่รองฯ อนุทินโกหกประชาชน
อย่างไรก็ตาม ท่านรองฯ ได้ชี้แจงว่า สิ่งที่นักการเมืองคนนั้นเอามานำเสนอเป็นเพียงข้อมูลเก่าตั้งแต่ปี 2563 แต่ปัจจุบันนี้ แผนการเปลี่ยนไปมาก
ประเทศไทย มีการคอนเฟิร์มกัน ว่าจะได้รับวัคซีนตามเป้าที่กำหนด
และมีศักยภาพความสามารถในการฉีดวัคซีนให้ได้ปีละ 50-60 บาทตามแผนงานที่วางไว้ล่าสุด จึงไม่ควรเอาแแผนเดิมมาทำให้เกิดความสับสนกับประชาชน
สิ่งที่นักการเมืองสุดโต่งทำอยู่นั้น เป็นการเอาข้อมูลเก่ามาด่าประจานอีกฝ่าย ผ่านคำพูดที่รุนแรงเกรี้ยวกราด
สำหรับท่านรองฯ ท่านไม่สมควรถูกด่าว่าโกหก เพราะปรับแผนให้ทันสมัย ทันสถานการณ์
ท่านรองฯ เป็นคนทำงานหนัก พาชาติพ้นวิกฤติโควิด-19 จัดหาสั่งจองวัคซีนได้ปริมาณมากที่สุดในอาเซียน และเป็นฐานการผลิตวัคซีนที่ใช้กันอยู่ทั่วโลก
เป็นคนลงพื้นที่ ทำงานจริง ร่วมหัวจมท้ายกับคนหน้าด่าน ถึงขั้นต้องกักตัว เพราะการทำงานที่สมุทรสาคร ยามมีน้ำท่วม ก็ขับเครื่องบินส่วนตัว เข้าถึงปัญหาก่อนใคร
ทำขนาดนี้ สมควรจะต้องถูกวิจารณ์ด้วยใจอคติหรือไม่