“ผงาด”

น่ายินดีที่ไทยเป็นหนึ่งใน 25 ประเทศที่ได้เข้าร่วมการประชุมด้านการสาธารณสุขระดับโลก หรือ สมัชชาอนามัยโลกสมัยพิเศษ ที่ กรุงเจนีวา สหพันธรัฐสวิสฯ ซึ่ง “รองฯหนู” นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ใช้โอกาสนี้โชว์วิชั่นด้านการสาธารณสุขเต็มที่ ชนิดว่า คู่ควรกับการเป็นตัวแทนประเทศไทย ในการเข้าประชุมระดับนานาชาติ ด้วยลีลาภาษาอังกฤษ สไตล์นักเรียนนอก ไปจนถึงวิสัยทัศน์ ที่เยี่ยมยุทธ์ ถึงขั้นที่ ผอ.องค์การอนามัยโลก นาย เทดรอส อัดฮานอม เกเบรเยซุส ยังต้องออกปากชม ว่า งานด้านสาธารณสุขระดับปฐมภูมิของไทยนั้นแข็งแกร่ง และเป็นรากฐานที่ทำให้ไทยสามารถจัดการปัญหาด้านสุขภาพได้ดี

ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจ เพราะตลอดระยะเวลา 2 ปีเศษที่ผ่านมา นับตั้งแต่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายอนุทิน คือ คนหนึ่งที่ยืนยันว่าเรื่องการรักษาพยาบาลบริการประชาชน คือ สิทธิ์ที่คนไทยพึงได้รับอย่างเท่าเทียม และทั่วถึง ชนิดที่ใคร ก็ตามที่มีแนวคิดจะยกเลิกสิทธิตรงนี้ ก็ต้องข้ามท่านรองฯ ให้ได้ก่อน เท่านั้นยังไม่พอ เพราะนายอนุทิน นี่เองคือ ผู้ที่ขยายสิทธิ์การให้บริการดังกล่าว จากที่ดูแลกันทุกโรค เป็นนโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ และมะเร็งรักษาทุกที่ ซึ่งนโยบายแรก ให้บริการไปแล้วกว่า 9.5 แสนครั้ง ขณะที่มีผู้ป่วยถึงกว่า 2.5 แสนราย ได้รับการดูแลจากโครงการมะเร็งรักษาทุกที่ นอกจากนั้น ยังมีคนไทยกว่า 9.7 ล้านครัวเรือน อยู่ในความรับผิดชอบของนโยบายคนไทยทุกคนต้องมีหมอ 3 คน หรือการบูรณาการให้ อสม. หมอครอบครัว และนายแพทย์สาธารณสุข ต้องบูรณาการทำงานร่วมกัน เพื่อดูแลประชาชนเชิงรุกผ่านเทคโนโลยีที่ทันสมัย ทั้งหมด เป็นไปตามกรอบความคิดของนายอนุทิน ที่เชื่อ เสมอว่า หากประชาชนแข็งแรง ย่อมคือความเข้มแข็งของชาติ และเป็นความแข็งแกร่งในเชิงเศรษฐกิจด้วย

เมื่อตัวเลขการดำเนินงานคืบหน้า ประชาชนได้ประโยชน์ จากนโยบายแบบเห็นชัดๆ ชนิดที่ ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลกยังต้องออกปากชม ก็อย่าแปลกใจที่งานประชุมที่เจนีวา นายอนุทิน จะพกความมั่นใจไปเต็มเปี่ยม กล่าวสปีชแบบชัดถ้อย ชัดคำ ลีลาภาษาไม่ธรรมดา แถมมีการเรียกร้องให้ นานาชาติ ขจัดความเหลื่อมล้ำด้านการสาธารณสุข ซึ่งจะเป็นทางออก ให้ทั่วโลก เอาชนะวิกฤติโรคระบาด ที่สะท้อนภาพปัญหาของปัจจุบันได้เป็นอย่างดี เพราะเรื่องความไม่เท่าเทียมนี่เอง ที่กัดเซาะระบบสาธารณสุขของโลกมาอย่างยาวนาน และเป็นปัญหาใหญ่ ที่ทำให้โลกยังไม่สามารถจบศึกโควิด 19 ได้ ก็ตรงกับถ้อยแถลงของ WHO ก่อนหน้านี้ ที่ผู้บริการเรียงหน้ามาขอร้องให้หลายๆ ชาติ ช่วย

เหลือเรื่องวัคซีนแก่ชาติที่ด้อยโอกาส เพราะตราบที่โควิด ยังมีที่ยืน ก็อย่าหวังว่าโลกจะปลอดภัย นอกจานั้น นายอนุทิน ยังได้ใช้โอกาสอันมีค่า ประกาศศักดาประเทศไทย ในศักยภาพการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด 19 ที่ยอดเยี่ยม ที่ล่าสุด ประชากรไทยกว่า 70% ได้รับวัคซีนแล้ว และ 60% ของประชากร ได้รับวัคซีนครบ 2 เข็ม เป็นไปตามเป้าของรัฐบาล ถือว่าได้โชว์ของดีประเทศไทย นอกจากนั้น ยังเป็นการตอกย้ำศักยภาพด้านการสาธารณสุขของไทย ในฐานะประเทศชั้นนำ ด้านสวัสดิการสุขภาพ ที่นอกจากจะได้ตอกย้ำผลงาน หลายคนมองว่า นี่คือการตอกกลับฝ่ายการเมืองกลุ่มเห็นต่าง ที่มักจะวิจารณ์ระบบสาธารณสุขไทยให้เสียหาย ที่วันนี้ กาลเวลาได้พิสูจน์คนไปแล้ว ก็ถึงขั้นที่ ผอ.องค์การอนามัยโลกชื่นชมระบบการแพทย์ไทย ก็น่าจะยืนยันความสามารถของการสาธารณสุขสยาม และฝีไม้ลายมือของนายอนุทิน ได้เป็นอย่างดี 

รองฯ หนู กับอีเว้นท์ระดับนานาชาติครั้งแรก ในยุคที่โลกเปิดหน้าสู้โควิด 19 นับว่าได้ผลลัพธ์กลับมาเป็นที่น่าพอใจ เพราะประเทศไทย ได้โอกาสเรียกคืนความเชื่อมั่นจากนานาชาติ ทั้งจากความสำเร็จในเรื่องของระบบสาธารณสุขมูลฐาน ไปจนถึงเรื่องการควบคุมโรคระบาด ผ่านอัตราการให้บริการวัคซีน เหล่านี้ เป็นเรื่องดีๆ ที่ทำให้ไทยได้กลับมาผงาดบนเวทีโลกอีกครั้งหนึ่ง

Stay Connected

60,860แฟนคลับชอบ
1,699ผู้ติดตามติดตาม

Latest Articles